ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เติบโตสูงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 4
ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก รับรู้รายได้ 1,314.4 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 253.0 ล้านบาท เติบโต 39%
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ยังคงมีผลประกอบการที่ขยายตัวสูงเหนือตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศผลประกอบการไตรมาสหนึ่ง ปี 2562 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,314.4 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 36% ซึ่งเป็นการขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวมติดต่อกันต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่สี่ ในแง่ของกำไรสุทธิ ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 253.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน39%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปี 2562 นี้ นับเป็นอีกครั้งที่บริษัททำผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 1,314.4 ล้านบาท หรือเติบโตราว 36% ซึ่งเป็นการเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้จากยอดรับรู้ดังกล่าวคิดเป็นประมาณ 28-29% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 4,650 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งที่บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ดีมากในไตรมาสนี้ เป็นผลจากมีลูกค้าบางส่วนรีบตัดสินใจซื้อ และต้องการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ก่อนเกณฑ์ LTV ใหม่ของแบงก์ชาติ จะเริ่มมีผลบงคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ประกอบกับการพัฒนาโครงการ ที่เข้าใจ Customer Insight ทำให้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดินที่มีประสิทธิภาพ การบริหารต้นทุนงานก่อสร้าง ตลอดจนการบริหารต้นทุนขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 253.0 ล้านบาท ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 39% สำหรับการขยายธุรกิจ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 1,600 ล้านบาท และเตรียมจะเปิดเพิ่มอีก 2 โครงการในเดือนนี้ มูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท รวมครึ่งปีแรกบริษัทจะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท นอกจากนี้มีแผนที่เปิดโครงการเพิ่มเติมอีก 3 โครงการในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจในปีนี้ที่จะมีการเปิดโครงการใหม่ 8 – 10 โครงการ มูลค่ารวม 4,500 – 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนขยายโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นลูกค้าที่เป็น Real Demand และควบคุมความเสี่ยง ตลอดจนบริษัทยังคงมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีระดับหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียง 0.76 เท่า ซึ่งนับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 1.3 เท่าอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รวมทั้งวงเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่บริษัทยังไม่ได้ใช้อีกจำนวนมาก ซึ่งพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจตามแผนของบริษัท ได้เป็นอย่างดี